ความเป็นมาของการถวายพระราชสมัญญา "มหาราช"
หากมองย้อนเวลากลับไป จะพบว่าแท้จริงแล้วพสกนิกรในแผ่นดินนี้ได้เคยมีมติ เห็นพ้องต้องกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 แล้วว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” ควรคู่แก่คำว่า “มหาราช” ตามคุณสมบัติการเป็น “อัจฉริยบุรุษ” กษัตริย์ผู้กอบกู้ผืนแผ่นดินไทยจากความทุกข์ยากแสนสาหัสในหลากหลายมิติ แต่เมื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาในครั้งแรกนั้น พระองค์กลับมีพระราชกระแสรับสั่งว่า ยังไม่ต้องพระราชประสงค์ ด้วยทรงไม่แน่พระทัยโดยทรงมีการตั้งข้อสงสัยเอาไว้ 2 ประการหลักๆ คือ
ประการแรก พระองค์ทรงอาวุโสควรคู่แก่การดำรงตำแหน่งมหาราชแล้วหรือไม่
และประการที่สอง ปวงชนชาวไทยจงรักภักดีต่อพระองค์มากเพียงใด
หากมองย้อนเวลากลับไป จะพบว่าแท้จริงแล้วพสกนิกรในแผ่นดินนี้ได้เคยมีมติ เห็นพ้องต้องกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 แล้วว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” ควรคู่แก่คำว่า “มหาราช” ตามคุณสมบัติการเป็น “อัจฉริยบุรุษ” กษัตริย์ผู้กอบกู้ผืนแผ่นดินไทยจากความทุกข์ยากแสนสาหัสในหลากหลายมิติ แต่เมื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาในครั้งแรกนั้น พระองค์กลับมีพระราชกระแสรับสั่งว่า ยังไม่ต้องพระราชประสงค์ ด้วยทรงไม่แน่พระทัยโดยทรงมีการตั้งข้อสงสัยเอาไว้ 2 ประการหลักๆ คือ
ประการแรก พระองค์ทรงอาวุโสควรคู่แก่การดำรงตำแหน่งมหาราชแล้วหรือไม่
และประการที่สอง ปวงชนชาวไทยจงรักภักดีต่อพระองค์มากเพียงใด
ภายหลังทรงมีพระราชดำริออกมาในครั้งนั้น การน้อมเกล้าฯ
ถวายพระราชสมัญญานามเพื่อสรรเสริญพระเกียรติจึงถูกเลื่อนออกไป
รอให้พระองค์ถึงพร้อมในคุณสมบัติทั้งสองประการอย่างไร้ข้อสงสัยในพระราชหฤทัยเสียก่อน
ต่อมาในปี พ.ศ.2530 มีการผูกพระราชสมัญญาขึ้น 15 พระราชสมัญญา แล้วให้มีการสำรวจประชามติโดยพระราชสมัญญาจากมติของปวงชนชาวไทย ประชาชนจำนวน 34 ล้านคน ลงมติเลือกพระราชสมัญญา “สมเด็จพระภูมิพลมหาราช” ขณะที่ 6 ล้านคนเลือก “สมเด็จพระภัทรมหาราช”
“ภูมิพลมหาราช” มีความหมายว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเป็นกำลังของแผ่นดิน เป็นพระนามพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
และ “ภัทรมหาราช” หมายความว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นท่ีรักของปวงชน
ต่อมาในปี พ.ศ.2539 มีการถวายใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช"และ "พระภูมิพลมหาราช" อนุโลมตามธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า "พระปิยมหาราช"
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร คือ “มหาราช” องค์ที่ 7 แห่งแผ่นดินสยาม ถัดจากทั้ง 6 พระองค์ก่อนหน้า คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช
🌸🍀🌸 ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ 🌸🍀🌸
✒️ ในการลงประชามติ การลงนามร่วมกันขอถวายพระราชสมัญญานามให้ทรงเป็น"มหาราช" ในโอกาสที่เสด็จขึ้นครองราชย์ 50 ปี มีหลักฐานการลงนามของคนไทยทั้งชาติเก็บรักษาไว้ ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร
Cr. เพจตามรอยพ่อ
ต่อมาในปี พ.ศ.2530 มีการผูกพระราชสมัญญาขึ้น 15 พระราชสมัญญา แล้วให้มีการสำรวจประชามติโดยพระราชสมัญญาจากมติของปวงชนชาวไทย ประชาชนจำนวน 34 ล้านคน ลงมติเลือกพระราชสมัญญา “สมเด็จพระภูมิพลมหาราช” ขณะที่ 6 ล้านคนเลือก “สมเด็จพระภัทรมหาราช”
“ภูมิพลมหาราช” มีความหมายว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเป็นกำลังของแผ่นดิน เป็นพระนามพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7
และ “ภัทรมหาราช” หมายความว่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นท่ีรักของปวงชน
ต่อมาในปี พ.ศ.2539 มีการถวายใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช"และ "พระภูมิพลมหาราช" อนุโลมตามธรรมเนียมเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้รับพระราชสมัญญาว่า "พระปิยมหาราช"
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร คือ “มหาราช” องค์ที่ 7 แห่งแผ่นดินสยาม ถัดจากทั้ง 6 พระองค์ก่อนหน้า คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช
🌸🍀🌸 ธ สถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ 🌸🍀🌸
✒️ ในการลงประชามติ การลงนามร่วมกันขอถวายพระราชสมัญญานามให้ทรงเป็น"มหาราช" ในโอกาสที่เสด็จขึ้นครองราชย์ 50 ปี มีหลักฐานการลงนามของคนไทยทั้งชาติเก็บรักษาไว้ ณ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร
Cr. เพจตามรอยพ่อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น