ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

filter bubble กับการปกครองของผู้นำ ตอนที่ 2


filter bubble กับการปกครองของผู้นำ
แล้วลองนึกเล่นๆนะครับว่า ถ้าคุณเป็นประธานาธิบดีทรัมป์แล้วกำลังอยากจะผ่านกฎหมายซักฉบับที่คิดไว้แล้วหละว่าประชาชนส่วนใหญ่จะต่อต้าน
วิธีการที่จะล่อหลอกประชาชนได้ดีที่สุดวิธีหนึ่ง คือสร้าง filter bubble
ไม่ยากเลยครับแค่โยนดราม่าซักเรื่องเข้าสู้โลกออนไลน์ โยนเรื่องงี่เง่าที่มั่นใจว่าคนต้องเข้ามารุมด่าเข้าสู่กระแสสังคม แล้วเมื่อมันเป็นไวรัล ประชาชนก็จะเหมือนแมงเม่าบินเข้าดราม่า ไม่ว่าจะเป็นแอดมินเพจ , นักศึกษา หรือ ด๊อกเตอร์ ก็พากันเข้าไปใช้สมองจนไม่เหลือให้กับเรื่องอื่นๆ
จากคนสนใจหนึ่งคน ไปสู่ฝูงชน อัลกอริธึ่มก็จะยิ่งทวีความน่าสนใจให้คนเข้าสู่ดราม่ามากขึ้น เกิด filter bubble ขนาดใหญ่ โดยที่ไม่ทันเอะใจว่ามีกฎหมายที่คุณเคยต่อต้านผ่านเลยไปเป็นข่าวเล็กๆที่ไม่มีคนพูดถึง
ซึ่งถ้าคุณได้อ่านบล็อกที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อสองบล็อกก่อน ( คลิกอ่านที่ == Blog No.27 : ปกครองด้วยความสุข == ) วิธีการของชนชั้นปกครองแบบนี้ก็คือกระบวนการ distraction ที่มีประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีแบบเดียวกับที่ผู้นำสมัยโรมันเคยล่อหลอกประชาชนให้มองข้ามความทุกข์ใจโดยพากันไปเข้าโคลอสเซี่ยม
 
กะลาของบุญชิต
วิธีการทุบกะลาให้โลกกว้างขึ้นและประเทศไทยพัฒนามากขึ้นมีแน่ๆครับ แต่ผมขอพักไว้ก่อนเพราะ Blog นี้ยาวกว่าที่คิดมากๆแล้ว
แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณอ่านมาถึงตอนนี้แล้วรู้ว่า องค์ประกอบที่นำไปสู่กะลาของบุญชิตเกิดจากองค์ประกอบต่อไปนี้ร่วมกัน เช่น
  • การเลือกคบแต่คนในโลกออนไลน์ที่ชอบอะไรคล้ายกัน (like-minded people)
  • การไม่รู้จัก filter bubble
  • การไม่รู้เท่าทันว่า ‘มัน’ (อัลกอริธึ่ม) กำลังควบคุมเรา ด้วยการคัดกรองข่าวสารให้เราเสพ
  • การอ่านแต่ดราม่าซ้ำๆเพราะความสนุกหรือสะใจ จนลืมไปว่าสมองของคุณมีพื้นที่จำกัด เวลาของคุณมีจำกัด
  • การเชื่อว่าติดตามข่าวจากเพจที่มีแอดมินเป็นคนธรรมดา ก็ทำให้รู้ทันโลกเหมือนการอ่านข่าวจากสำนักข่าวทางการ เช่น ไทยรัฐ มติชน บีบีซี ฯลฯ
  • การจัดลำดับสำคัญของเรื่องที่เลือกอ่านตามกระแสในโซเชียลมีเดีย มากกว่าที่จะเลือกอ่านตามเรื่องที่สำคัญจริงๆ
  • ฯลฯ
จากปัจจัยเหล่านี้ก็น่าจะทำให้คุณพอนึกออกใช่มั้ยครับว่า การจะทุบกะลาให้แตกเพื่อให้โลกกว้างขึ้นไม่ได้ขึ้นกับบิลเกตต์ หรือ มาร์ค ซักเกอเบิร์ก แถม ‘มัน(อัลกอริธึ่ม)’ก็มีแต่จะฉลาดขึ้นทุกวัน
ขึ้นอยู่กับคุณแหละครับว่าจะใช้ชีวิตในโลกออนไลน์อย่างไร

ขอบคุณ ข้อมูลจาก: Facebook/"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ที่มาของคำว่า เสียหมา

  มีเรื่องเล่าที่อยากมาแชร์ แต่ไม่การันตีว่าจริงแท้แค่ไหนนะเออ.... ที่มาของคำว่า .....เสียหมา.... ** "เสียหมา"** แล้ว "เสียหมา" ทำไม? จึงหมายถึง "เสียฟอร์ม - เสียท่า" "เสียหมา" เกิดขึ้นในช่วงสงครามเวียดนามเมื่อประมาณ 30 - 40 ปีก่อน ตอนนั้นยังมี เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาหนุนเวียดนามใต้ สู้กับเวียดนามเหนือ หรือพวก "เวียดกง" "เวียดกง" เป็นเจ้าของกลยุทธ์ การสู้รบแบบ "กองโจร" "เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตาม" ไม่สู้แบบปะทะตรงๆ เพราะสู้กับกองทัพสหรัฐอเมริกาไม่ได้ เขาจึงใช้กลยุทธ์ "กองโจร" ใช้วิธีซุ่มโจมตีแทน ที่เด็ดมาก และแสดงถึงความมานะอดทนของ "เวียดกง" ก็คือ การขุดอุโมงค์ใต้ดิน ต่อเชื่อมกันเป็นระยะทางไกลๆ โผล่ขึ้นมาถล่มทหารสหรัฐ แล้วก็มุดเข้าอุโมงค์หนีไป วันหนึ่ง กองทัพสหรัฐคิดวิธีใหม่ในการค้นหาอุโมงค์ของ "เวียดกง" ได้สำเร็จเขาใช้สุนัขทหารที่ดมกลิ่นเก่งมากๆ เป็นตัวนำทาง ทหารสหรัฐจะส่งสุนัขล่วงหน้าไป พอเจออุโมงค์ที่ไหน มันก็จะเห่าบอ

สด.8 คืออะไร

สด. 8           ใบ สด.8 คือ สมุดประจำตัวของทหารกองหนุนที่ผ่านการเป็นทหารกองประจำการแล้วรวมทั้งผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิชาทหารชั้นปี 3(รด) เป็นหนังสือสำคัญ ที่ติดมาพร้อมกับ สมุดประจำตัวทหารกองหนุนประเภทที่ ๑ สด.8 จะอยู่ในสมุดประจำตัวทหารกองหนุน พร้อมหนังสือสำคัญ(แบบ สด.8) หน้ากลางเล่ม เวลาใช้งานให้ถ่ายเอกสารหน้ากลางตรงส่วนที่ระบุว่า สด.8 ทั้งสองส่วน ซึ่งจะได้รับ สด. 8 เมื่อ รับราชการทหารกองประจำการ (คือ เป็นทหารเกณฑ์ ) จนครบกำหนดปลด        เรียน รด. จบปี 3 (เพราะ จบ รด. ไม่ต้องไป เกณฑ์ทหาร และไม่ต้องเป็นทหารกองประจำการ )        เมื่อจบ รด.ปี 3 จะได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการ และ นำปลด เป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1       ในวันเดียวกัน โดยไม่ต้องไปรับราชการในกองประจำการ ( ไม่ต้องเป็นทหารเกณฑ์นั่นเอง )        แต่ ยังคงเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 การนับอายุของทหาร        การนับอายุจะนับที่ปี พ.ศ. โดยเกิด 1 มกราคม ไปจนถึง เกิด 31 ธันวาคม ของปี ใดก็ตาม ถือว่า อายุ เท่ากัน ทั้งปี และ เริ่มนับ เมื่อวันที่ 1 มกราคม เป็น อายุ ครบ ปี บริบูรณ์       ทหารกองหนุนประเภทที่ 1 แบ่ง

…..จอมพลสอนทหาร ………..

             ๑. ผู้ใดเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใหญ่ อย่าเป็นคนหูเบา แต่ก็มิใช่เป็นคนหูหนวกตาบอด ต้องฟังต้องดูอย่างกว้างที่สุด อยู่เสมอ แต่อย่าเชื่อคนสอพลอ หรือเชื่อคนพูดก่อนและฟ้องก่อน เพราะคนพูดภายหลังอาจพูดจริงกว่าคนที่พูดก่อนก็เป็นได้             ๒. เมื่อมีความขุ่นข้องกับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือผู้น้อย เมื่อได้ว่ากล่าวลงโทษ หรือตักเตือนแล้ว จงอย่าจำเอาไว้ อาฆาตมาดร้ายภายหลังอีก             ๓. ให้พยายามหาความดีความงามมาสู่คณะ และปูนบำเหน็จกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และผู้น้อย สำหรับผู้ที่สมควรจะได้รับตามโอกาสที่จักพึงหาได้นั้นอยู่เสมอ             ๔. จงติโทษหรือลงโทษผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในขณะที่ทำผิด โดยไม่เกรงใจหรือกลัวเขาเกลียด ให้เคร่งครัดอยู่เสมอ จะละเลยเสียมิได้เป็นอันขาด เพราะภายหลังจะกำเริบและแก้ไขยาก             ๕. จงอย่าใช้อำนาจราชการลงโทษกับผู้ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาในขณะเมื่อตนบันดาลโทสะ และอย่ากล่าวคำหยาบ ให้กระทบกระเทือนถึงวงศ์ตระกูล เพราะผู้อื่นเขาก็มีจิตใจเป็นมนุษย์เหมือนเราเหมือนกัน             ๖. จงบำรุงการสมาคม และแสดงกิริยา วาจา ใจ ให้เป็นการโอภ