ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จากเกลียดแรกพบสู่ “69 ปีแห่งรัก”

วันที่ ๙ มกราคม ปีพุทธศักราช ๒๕๖๑
นับได้ ๔๕๔ วัน นับแต่วันสวรรคต
รักแห่งแผ่นดิน
แม้ทั้งสองพระองค์จะทรงตรากตรำทำงานหนัก แต่กระนั้นก็ไม่มีวันใดเลยที่จะทรงละเลยในความรักที่มีให้แก่กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างฉลองพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงดูแลด้วยพระองค์เองเสมอมาตั้งแต่รองพระบาท ถุงเท้า รัดพระองค์ และเน็กไท
ส่วนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ก็ทรงมอบความห่วงใยให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการที่ทรงเก็บพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ที่พระองค์ทรงถ่ายด้วยฝีพระหัตถ์ไว้ทุกรูปโดยไม่เคยทิ้ง หรือแม้แต่รอยยิ้มและพระอารมณ์ขันที่ทรงมอบให้อีกพระองค์แม้ขณะที่ทรงงานหนัก
ครั้งหนึ่งขณะเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในถื่นทุรกันดาน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทอดพระเนตรเห็นดอกไม้ลักษณะแปลกตา ทำให้พระองค์ทรงสนพระทัยยิ่ง และทรงกราบทูลถามพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ถึงชื่อดอกไม้ดังกล่าว แต่ด้วยพระอารมณ์ขัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จึงโปรดให้เรียกชื่อดอกไม้นี้ว่า “สิริฉงน"
นอกจากพระอารมณ์ขันแล้ว อีกหนึ่งน้ำทิพย์ที่ต่างก็ทรงมอบให้กันมาตลอดคือ กำลังใจ ดั่งเหตุการณ์ครั้งสำคัญขณะเสด็จยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
ในการเสด็จฯต่างประเทศครั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “ความทรงจำในการเสด็จต่างประเทศทางราชการ” และ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ได้นิพนธ์ในรูปแบบจดหมายในหนังสือ “เสด็จพระราชดำเนินอเมริกา พ.ศ.๒๕๐๓”
“...ที่ออสเตรเลียอันนำความหนักใจมาให้ข้าพเจ้าเป็นอันมากเกิดขึ้นที่เมืองเมลเบิร์น เมืองหลวงของรัฐวิกตอเรีย
วันที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นถวายปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตแก่พระเจ้าอยู่หัว พอเราไปถึงมหาวิทยาลัยต้องเดินผ่านกลุ่มชาย-หญิง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น มีพวกหนึ่งยืนอยู่นอกหอประชุมด้านที่เป็นประตูกระจกเปิดอยู่เป็นระยะๆ ทำให้มองเข้าไปเห็นและได้ยินเสียงจากเวทีข้างในได้ กลุ่มนี้บางคนแต่งกายไม่เรียบร้อยเลย แต่กลุ่มอื่นๆบางพวกก็ดูดี เมื่อข้าพเจ้าตามเสด็จผ่านจะเข้าในหอประชุม บางพวกก็ปรบมือให้ บางพวกก็มองดูเฉยๆไม่ยิ้มไม่บึ้ง แต่บางพวกมองดูด้วยสายตาประหลาด แล้วมีการหันไปพูดซุบซิบและหัวเราะกันก็มี ตัวข้าพเจ้าเองก็คงอดที่จะมองดูเขาอย่างประหลาดใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะเห็นว่าท่วงทีที่คนบางคนยืนช่างไม่น่าดูเลย การแต่งเนื้อแต่งตัวก็จะเป็นจะเป็นเครื่องแต่งกายของพวกที่อยากจะเรียกร้องความสนใจ มากกว่าที่จะให้นึกว่าเป็นนักศึกษาอันควรจะเป็นปัญญาชน
เมื่อเราเข้าไปถึง ในหอประชุมนั้นมีผู้คนเต็มไปหมดเกือบทุกที่นั่ง เป็นนักศึกษา ศาสตราจารย์ คนสำคัญของเมืองเมลเบิร์น และนักหนังสือพิมพ์ เป็นต้น เขาจัดให้ข้าพเจ้าและผู้ติดตามนั่งอยู่ตรงที่คนดูข้างล่างแถวหน้า
ส่วนพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปบนเวทีพร้อมด้วยอธิการบดี คณบดี และกรรมการของมหาวิทยาลัย เมื่อพิธีเริ่มต้น อธิการบดีก็ลุกขึ้นไปอ่านคำสดุดีพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวก่อนที่จะถวายปริญญา ทันใดนั้นเองข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงเอะอะเหมือนโห่ปนฮาอยู่ข้างนอก คือจากกลุ่ม “ปัญญาชน” ซึ่งยืนท่าต่างๆ ที่ไม่น่าดู เช่น เอาเท้าพาดบนต้นไม้บ้าง ถ่างขามือท้าวสะเอวบ้าง เสียงโห่ปนฮาของเขาดังพอที่จะรบกวนเสียงที่อธิการบดีกำลังกล่าวอยู่ทีเดียว
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าความโกรธพลุ่งขึ้นมาทันที เกือบจะระงับสติอารมณ์ไว้ไม่ไหว มองขึ้นไปบนเวทีเห็นบรรดาศาสตราจารย์และกรรมการมหาวิทยาลัยที่นั่งอยู่บนนั้นต่างก็หน้าจ๋อย ซีดแทบไม่มีสีเลือด ท่าทางกระสับกระส่ายด้วยความละอายไปด้วยกันทั้งนั้น
ถ้าคนกลุ่มนั้นเป็นเด็กเล็กๆ ก็คงมีผู้ใหญ่ลุกขึ้นออกไปตีคนละเผียะสองเผียะ เพื่อสั่งสอนให้รู้จักมารยาทของเจ้าของบ้าน แต่นี่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งสมมุติว่าเป็น “ปัญญาชน” ด้วยกันทั้งนั้น ที่ส่งเสียงไม่น่าฟังออกมาอย่างผิดเวลา ผิดกาลเทศะที่สุด
ข้าพเจ้าชำเลืองดูพวกเราเห็นนั่งตัวแข็งไปตามๆกัน ครั้นอธิการบดีอ่านคำสดุดีพระเกียรติจบลงก็ถวายปริญญา ต่อจากนั้นก็ถึงเวลาพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปพระราชทานพระราชดำรัสที่เครื่องที่เครื่องขยายเสียงกลางเวที ยังไม่ทันจะอะไรก็มีเสียงโห่ปนฮาดังขึ้นมาจากกลุ่ม “ปัญญาชน” ข้างนอกอีกแล้ว
ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามือเย็นเฉียบ หัวใจก็หวิวๆ อย่างพิกล รู้สึกสงสารพระเจ้าอยู่หัวจนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นดูพระพักตร์ท่านด้วยความสงสารและเห็นพระทัย ในที่สุดก็ฝืนใจมองขึ้นไปเพื่อถวายกำลังพระทัย
แต่แล้วข้าพเจ้านั่นเองแหละที่เป็นผู้ได้รับกำลังใจกลับคืนมา เพราะมองดูท่านขณะที่ทรงพระดำเนินไปยืนกลางเวที เห็นพระพักตร์สงบเฉย ทันใดนั้นเองคนที่อยู่ในหอประชุมทั้งหมดก็ปรบมือเสียงสนั่นหวั่นไหว คล้ายจะถวายกำลังพระทัยท่าน พอเสียงปรบมือเงียบลง คราวนี้ข้าพเจ้ามองขึ้นไปบนเวทีอีก ก็เห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดพระมาลาที่ทรงคู่กับฉลองพระองค์ครุย แล้วหันพระองค์ไปโค้งคำนับคนกลุ่มที่ส่งเสียงอยู่ข้างนอกอย่างงดงามน่าดูที่สุด พระพักตร์ยิ้มนิดๆ พระเนตรมีแววเยาะหน่อยๆ แต่พระสุรเสียงราบเรียบยิ่งนัก
"...ขอขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอันมาก ในการต้อนรับอันอบอุ่นและสุภาพเรียบร้อยที่ท่านแสดงต่อแขกเมืองของท่าน..." รับสั่งเพียงเท่านั้นเอง แล้วก็หันพระองค์มารับสั่งต่อผู้ที่นั่งฟังอยู่ในหอประชุม
ตอนนี้ข้าพเจ้าอยากจะหัวเราะออกมาดังๆด้วยความสะใจ เพราะเสียงฮานั้นเงียบลงทันที่เหมือนปิดสวิช แล้วตั้งแต่นั้นก็ไม่มีอีกเลย ทุกคนข้างนอกข้างในต่างนั่งฟังพระราชดำรัสเฉย ท่าทางดูขบคิด
ข้าพเจ้าเห็นว่าพระราชดำรัสวันนั้นดีมาก รับสั่งสดๆโดยไม่ทรงใช้กระดาษเลย ทรงเล่าถึงวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของไทยเราว่า เรามีเอกราช มีภาษาของเราเอง มีตัวหนังสือซึ่งคิดค้นขึ้นใช้เอง เราตั้งบทกฎหมายการปกครองของเราเอง ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนมา ๗๐๐ ปีกว่ามาแล้ว
ตอนนี้ข้าพเจ้าขำแทบแย่ เพราะหลังจากรับสั่งว่า ๗๐๐ ปีกว่ามาแล้ว...ทรงทำท่าเหมือนเพิ่งนึกออก ทรงสะดุ้งนิดๆ และทรงโค้งพระองค์อย่างสุภาพเมื่อตรัสว่า...ขอโทษ...ลืมไป...ตอนนั้นยังไม่มีประเทศออสเตรเลียเลย แล้วทรงเล่าต่อไปว่า แต่ไหนแต่ไรมา คนไทยเรามีน้ำใจกว้างขวางที่จะให้โอกาสคนอื่น และฟังความเห็นของเขา เพราะเรามักใช้ปัญญาขบคิด ไตร่ตรองหาเหคุผลก่อน จึงคิดว่าสิ่งไรเป็นอย่างไร ไม่สุ่มสี่สุ่มห้าตัดสินอะไรตามใจชอบโดยไม่ใช้เหตุผล
เมื่อเสร็จพิธีแล้ว อธิการบดีก็เชิญเสด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าออกจากหอประชุมไปในอีกห้องหนึ่ง ถวายเครื่องดื่มและมีงานรับรองเล็กๆถวาย เพื่อเปิดโอกาสให้ศาสตราจารย์และแขกที่ได้รับเชิญมาเข้าเฝ้า ทุกคนเข้ามาชมเชยพระราชดำรัส ศาสตราจารย์บางคนก็น่าสงสาร ละล่ำละลักเข้ามาแก้แทนเสียงที่ไม่สุภาพนั้นว่า เด็กๆเขาทะเลาะกันเองต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับพิธีถวายปริญญาดอก อันที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่ได้โทษใครทั้งสิ้น ทางบ้านเมืองและมหาวิทยาลัยต่างก็ถวายพระเกียรติพระเจ้าอยู่หัวและข้าพเจ้าเต็มที่
การที่นักศึกษาบางพวกทำตัวไม่น่าดู จนศาสตราจารย์ของเขาเองอาย ต้องออกตัวว่าเป็นเด็กๆแทนที่จะเรียกว่านักศึกษา เห็นจะเป็นเพราะนักศึกษาเหล่านั้นนึกว่า พวกเขามีเสรีที่จะแสดงความคิดเห็นได้ตามใจชอบ ไม่ว่าความคิดเห็นนั้นจะถูกต้องด้วยเหตุผลและสมควรแก่กาลเทศะหรือไม่นั้น เขาคิดไม่ออก ท่องจำไว้อย่างเดียวว่า ถ้าเป็นนักศึกษาแล้วก็ต้องมีเสรีภาพ ก็เลยใช้เสรีภาพอย่างเต็มที่ในวันนั้น
พอเสร็จงานเลี้ยงรับรองแล้ว เมื่อจะไปขึ้นรถพระที่นั่งกลับ ก็จำต้องเสด็จผ่านกลุ่มนั้นอีก เขายังยืนคอยดูเราอยู่ที่เก่า แต่อากัปกิริยาเปลี่ยนไปหมด บางคนก็หน้าเฉยๆ เจื่อนๆ ดูหลบตาพวกเรา ไม่มีการมองอย่างประหลาดอีกแล้ว แต่บางพวกก็มีน้ำใจนักกีฬาพอจะยิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือและปรบมือให้เราตลอดทางจนถึงที่ซึ่งรถพระที่นั่งจอดอยู่
และแม้ในวันนี้ผู้เป็นดั่งกำลังใจแห่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ รวมทั้งผืนแผ่นดินไทยจะเสด็จสู่สวรรคาลัยอย่างไม่มีวันหวนกลับคืนมา แต่ชาวไทยทั่วทั้งแผ่นดินต่างประจักษ์ชัดแล้วว่า พลังแห่งรักของทั้งสองพระองค์จะยังคงฝังลึกเป็นดั่งหัวใจแห่งแผ่นดินไทย…ตราบนิจนิรันดร์
Cr. Facebook/ตามรอยเสด็จในหลวงรัชกาลที่๙ โดย JAME INDY
Cr : หนังสือ ความทรงจำในการเสด็จต่างประเทศทางราชการ พระนิพนธ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙
- Praewweding http://praewwedding.com/61236/4
- รอยยิ้มของในหลวง โดย อาริยา สินธุจริวัตร บุนนาค
- อมตะแห่งรัก โดย สุวิสุทธิ์
สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์ น้อมศิระกรานต์ กราบแทบพระยุคลบาท ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
____________________________________
#KingBhumibol
#สมเด็จพระภัทรมหาราช
#รักในหลวงคิดถึงในหลวงสุดหัวใจ
#ฉันรักพระองค์มาตั้งแต่จำความได้
#ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป
#สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์
#ฉันเกิดในรัชกาลที่๙
#นั่งนับวันที่พ่อจาก
#เรารักกองทัพบก
บันทึกความทรงจำอันแสนหวานตลอดเส้นทางรักอันยาวนานแห่งองค์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และส�...
praewwedding.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ที่มาของคำว่า เสียหมา

  มีเรื่องเล่าที่อยากมาแชร์ แต่ไม่การันตีว่าจริงแท้แค่ไหนนะเออ.... ที่มาของคำว่า .....เสียหมา.... ** "เสียหมา"** แล้ว "เสียหมา" ทำไม? จึงหมายถึง "เสียฟอร์ม - เสียท่า" "เสียหมา" เกิดขึ้นในช่วงสงครามเวียดนามเมื่อประมาณ 30 - 40 ปีก่อน ตอนนั้นยังมี เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาหนุนเวียดนามใต้ สู้กับเวียดนามเหนือ หรือพวก "เวียดกง" "เวียดกง" เป็นเจ้าของกลยุทธ์ การสู้รบแบบ "กองโจร" "เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตาม" ไม่สู้แบบปะทะตรงๆ เพราะสู้กับกองทัพสหรัฐอเมริกาไม่ได้ เขาจึงใช้กลยุทธ์ "กองโจร" ใช้วิธีซุ่มโจมตีแทน ที่เด็ดมาก และแสดงถึงความมานะอดทนของ "เวียดกง" ก็คือ การขุดอุโมงค์ใต้ดิน ต่อเชื่อมกันเป็นระยะทางไกลๆ โผล่ขึ้นมาถล่มทหารสหรัฐ แล้วก็มุดเข้าอุโมงค์หนีไป วันหนึ่ง กองทัพสหรัฐคิดวิธีใหม่ในการค้นหาอุโมงค์ของ "เวียดกง" ได้สำเร็จเขาใช้สุนัขทหารที่ดมกลิ่นเก่งมากๆ เป็นตัวนำทาง ทหารสหรัฐจะส่งสุนัขล่วงหน้าไป พอเจออุโมงค์ที่ไหน มันก็จะเห่าบอ

สด.8 คืออะไร

สด. 8           ใบ สด.8 คือ สมุดประจำตัวของทหารกองหนุนที่ผ่านการเป็นทหารกองประจำการแล้วรวมทั้งผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิชาทหารชั้นปี 3(รด) เป็นหนังสือสำคัญ ที่ติดมาพร้อมกับ สมุดประจำตัวทหารกองหนุนประเภทที่ ๑ สด.8 จะอยู่ในสมุดประจำตัวทหารกองหนุน พร้อมหนังสือสำคัญ(แบบ สด.8) หน้ากลางเล่ม เวลาใช้งานให้ถ่ายเอกสารหน้ากลางตรงส่วนที่ระบุว่า สด.8 ทั้งสองส่วน ซึ่งจะได้รับ สด. 8 เมื่อ รับราชการทหารกองประจำการ (คือ เป็นทหารเกณฑ์ ) จนครบกำหนดปลด        เรียน รด. จบปี 3 (เพราะ จบ รด. ไม่ต้องไป เกณฑ์ทหาร และไม่ต้องเป็นทหารกองประจำการ )        เมื่อจบ รด.ปี 3 จะได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการ และ นำปลด เป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1       ในวันเดียวกัน โดยไม่ต้องไปรับราชการในกองประจำการ ( ไม่ต้องเป็นทหารเกณฑ์นั่นเอง )        แต่ ยังคงเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 การนับอายุของทหาร        การนับอายุจะนับที่ปี พ.ศ. โดยเกิด 1 มกราคม ไปจนถึง เกิด 31 ธันวาคม ของปี ใดก็ตาม ถือว่า อายุ เท่ากัน ทั้งปี และ เริ่มนับ เมื่อวันที่ 1 มกราคม เป็น อายุ ครบ ปี บริบูรณ์       ทหารกองหนุนประเภทที่ 1 แบ่ง

…..จอมพลสอนทหาร ………..

             ๑. ผู้ใดเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใหญ่ อย่าเป็นคนหูเบา แต่ก็มิใช่เป็นคนหูหนวกตาบอด ต้องฟังต้องดูอย่างกว้างที่สุด อยู่เสมอ แต่อย่าเชื่อคนสอพลอ หรือเชื่อคนพูดก่อนและฟ้องก่อน เพราะคนพูดภายหลังอาจพูดจริงกว่าคนที่พูดก่อนก็เป็นได้             ๒. เมื่อมีความขุ่นข้องกับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือผู้น้อย เมื่อได้ว่ากล่าวลงโทษ หรือตักเตือนแล้ว จงอย่าจำเอาไว้ อาฆาตมาดร้ายภายหลังอีก             ๓. ให้พยายามหาความดีความงามมาสู่คณะ และปูนบำเหน็จกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และผู้น้อย สำหรับผู้ที่สมควรจะได้รับตามโอกาสที่จักพึงหาได้นั้นอยู่เสมอ             ๔. จงติโทษหรือลงโทษผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในขณะที่ทำผิด โดยไม่เกรงใจหรือกลัวเขาเกลียด ให้เคร่งครัดอยู่เสมอ จะละเลยเสียมิได้เป็นอันขาด เพราะภายหลังจะกำเริบและแก้ไขยาก             ๕. จงอย่าใช้อำนาจราชการลงโทษกับผู้ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาในขณะเมื่อตนบันดาลโทสะ และอย่ากล่าวคำหยาบ ให้กระทบกระเทือนถึงวงศ์ตระกูล เพราะผู้อื่นเขาก็มีจิตใจเป็นมนุษย์เหมือนเราเหมือนกัน             ๖. จงบำรุงการสมาคม และแสดงกิริยา วาจา ใจ ให้เป็นการโอภ