ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กองพลทหารราบที่ 9

กองพลทหารราบที่ 9
เสือดำ5
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเวียดนาม ประกาศต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของ ฝรั่งเศสจนสำเร็จ ทำให้ เวียดนามถูกแบ่งออกเป็น เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ เมื่อเวียดนามเหนือโดยการนำของ โฮจิมินห์ พยายามที่จะรวมเวียดนามทั้ง 2 เข้าด้วยกัน ทำให้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา  ได้ส่งกำลังทหารของตนพร้อมทั้ง กำลังทหารของพันธมิตร อีก 6 ประเทศเข้าไปช่วย คือ
–  ออสเตรเลีย,
–  นิวซีแลนด์,
–  สเปน,
–  ฟิลิปปินส์,
–  เกาหลีใต้ และ
–  ประเทศไทย
เสือดำ3
สงคราม เวียดนาม จึงได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งคณะรัฐมนตรี ได้ลงมติ อนุมัติหลักการให้ความ ช่วยเหลือทางทหารแก่รัฐบาลสาธารณรัฐเวียดนาม จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจขึ้น เรียกว่า “กรมทหารอาสาสมัคร” (กรม อสส.) มีภารกิจในการรบเป็นหลัก และปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนเป็นรอง ถือว่าเป็นกองกำลังทหารไทยหน่วยแรก ที่ปฏิบัติการรบในเวียดนาม ได้สมญานามว่า “จงอางศึก” หลังจากที่ กรมทหาร อาสาสมัคร เดินทางไปปฏิบัติการรบในสาธารณรัฐเวียดนาม เป็นเวลา ๑ ปี กองทัพบกได้ มอบให้คณะกรรมการพิจารณา เตรียมการส่งกำลังไปผลัดเปลี่ยน กรมทหารอาสาสมัคร และเพิ่มเป็น ๑ กองพลทหารอาสาสมัคร
เสือดำ2
เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๑ จึง มีคำสั่งจัดตั้ง “กองพลทหารอาสาสมัคร ” บรรจุมอบเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก มีที่ตั้งปกติ ณ ค่ายกาญจนบุรี ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และไปปฏิบัติการรบ ในสาธารณรัฐเวียดนาม มีสมญานามเป็น ที่รู้จักกัน ในนามว่า “กองพลเสือดำ
เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๔ กองทัพบกได้ออกคำสั่งตั้งกองพลใหม่ขึ้น บริเวณ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยแปรสภาพ กองพลทหารอาสาสมัคร ” กองพลเสือดำ” เป็นกองพลใหม่ ขนานนามว่า “กองพลที่ ๙” เหตุผลว่าเป็นครบรอบปี ๒๔ แห่งวันรัชดาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ รัชกาลที่ ๙ และเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๗ กองทัพบกได้ขนานนาม ค่ายที่ตั้ง กองพลที่ ๙ ว่า “ค่ายกาญจนบุรี
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๕ กองทัพบกได้ออกคำสั่ง ให้เปลี่ยนนามจากหน่วยเดิม กองพลที่ ๙ เป็น กองพลทหารราบที่ ๙ เป็นกองพลเดียว ในกองทัพบกที่มีหน่วยขึ้นตรงอยู่ในพื้นที่เดียวกันบนเนื้อที่ประมาณ ๖๖,๗๕๒ ไร่ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๓ กองทัพบกได้มีประกาศ ขอพระราชทานเปลี่ยนนามค่ายใหม่จากเดิม ค่ายกาญจนบุรี เป็น “ค่ายสุรสีห์” อันเนื่องมาจากสถานที่ตั้ง กองพลทหารราบที่ ๙ เดิมเป็นสมรภูมิสงคราม ทุ่งลาดหญ้าใน สงครามเก้าทัพ เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๘ กองทัพไทย โดย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๑ ( เจ้าพระยาสุรสีห์ ) เป็นแม่ทัพ ได้มีชัยชนะแก่ข้าศึก ได้อย่างสมบูรณ์ โดยทำการรบแตกหัก ณ พื้นที่ตั้งค่ายสุรสีห์แห่งนี้
ณ กองพลทหารราบที ๙ ค่ายสุรสีห์ แห่งนี้ มีหนึ่งที่น่าสนใจ
เสาประวัติศาสตร์ พล.ร.9
“เสาเกียรติภูมิ พล.ร.๙” (ซึ่งเป็นเพียงชื่อที่ใช้เรียกกันเฉพาะใน บก.พล.ร.๙ ยังไม่ได้มีการตั้งป้ายชื่ออย่างเป็นทางการ)เพื่อให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาได้รับรู้เกียรติประวัติ, สถานที่ในอดีตที่ กองพลทหารราบที่ ๙ หรือตัวแทนของเราได้ไปเหยียบ และยังสร้างชื่อเสียงกลับมาสู่หน่วยเป็นอันมากอีกด้วย ซึ่งรูปร่างหน้าตาของเสาเกียรติภูมิฯ ก็จะมีรูปร่างตามรูปภาพที่เห็น
เสือดำ4
เสาเกียรติภูมิ พล.ร.๙ นี้เป็นเสาไม้ธรรมชาติ (ต้นตะเคียน) ขนาดมากกว่า ๑ คนโอบนิดหน่อย สูงประมาณ ๑๑ เมตร แต่เวลาตั้งเราฝังไว้ในดินความลึกประมาณ ๒ เมตร เพราะฉะนั้น เสานี้จะมีความสูงประมาณ ๙ เมตร ตัวเสาทาด้วยสีน้ำตาลเข้ม (น่าจะเป็นสีเคลือบรักษาเนื้อไม้) มีส่วนประกอบ คือ ด้านบนสุดของเสา มีหมวกเหล็ก (จำลอง) สีพรางคลุมด้วยตาข่ายพร้อมยางรัดขอบหมวกและสายรัดคางพร้อมทั้ง ป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในป้ายจะบอก ปี พ.ศ. หรือ ค.ศ., สถานที่, ระยะทาง ชี้ไปทิศทางที่ กองพลทหารราบที่ ๙ เคยไปปรากฏกาย ณ สถานที่หรือประเทศนั้น ๆ ตั้งอยู่ตามหลักภูมิศาสตร์
เสาต้นนี้เป็นการสร้างตามดำริของผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙ ท่านปัจจุบัน ด้วยแนวความคิดว่า อยากให้แขก หรือผู้ที่พบเห็นประติมากรรม โดดเด่นชิ้นนี้ ซึ่งมีนัยยะ และความสำคัญเมื่อหยุดดูแล้วก็พอจะได้ทราบประวัติของกองพลทหารราบที่ ๙ พอสังเขปไปด้วยในตัว

ความหมายเสาเกียรติยศกองพลทหารราบที่ ๙
เสาเกียรติยศกองพลทหารราบที่ ๙ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ ๙ มิ.ย.๒๕๔๙ ในสมัย พล.อ.อดุล อุบล ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙ โดยต้องการให้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในความภาคภูมิใจ และรักในศักดิ์ศรีความเป็นทหารอาชีพของกำลังพลและของหน่วย ตลอดจนเกียรติยศชื่อเสียง    ในการปฏิบัติงานทางทหารที่บรรพบุรุษของหน่วยได้สะสมกันมาตั้งแต่อดีต
สถานที่ตั้งเสาอยู่ด้านขวามือของกองบัญชาการกองพล ซึ่งถือว่าพวกเขา(บรรพบุรุษของหน่วย) คือกำลังพลของกองพลทหารราบที่ ๙ เช่นเดียวกันพวกเราพวกเขาเป็นกำลังพลหัวแถวที่เข้ามาอยู่ในกองพลก่อนพวกเรา ได้เข้ามาทำงานรับใช้ประเทศชาติและกองพล ถึงแม้พวกเขาจะได้จากกองพลไปแล้ว บางคนก็ได้สละแม้เลือดเนื้อและชีวิตให้แก่หน่วยนี้แต่พวกเขายังคงเป็นหัวแถวของพวกเรา กองพลทหารราบที่ ๙จะนึกถึงพวกเขาตลอดไป
หมวกเหล็ก M1 ที่วางอยู่บนยอดเสา แสดงถึงการไว้อาลัยแด่ความกล้าหาญและความเสียสละของเขาเหล่านั้นซึ่งก็คือ บรรพบุรุษของพวกเราที่สูญเสียในสมรภูมิต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศป้ายเล็กๆ บนเสา บ่งบอกชื่อของดินแดน และห้วงเวลาที่พวกเขาเหล่านั้น ไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติโดยชี้ตรงไปยังทิศทางของสถานที่เหล่านั้นถึงแม้มันจะอยู่คนละซีกโลกก็ตาม
เสาต้นนี้ทำจากไม้ตะเคียนทองที่หามาจากในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้นไม้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า ๗๐๐ ปี ต้นเสาไม่ได้ถูกตกแต่งหรือดัดแปลง เพียงแต่ทำความสะอาดและทาน้ำยารักษาเนื้อไม้ไว้ให้คงสภาพเดิมตลอดไปเท่านั้น เพราะผมต้องการแสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นของแท้ไม่มีการดัดแปลง เป็นความจริงที่ไม่ได้มีการเสริมแต่ง และไม่ต้องการการเสริมแต่งไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไปธรรมชาติของทหารก็เป็นเช่นนั้น
ผมตั้งใจให้เสาต้นนี้ปักอยู่บนพื้นดินไม่ต้องการมีฐานอะไรใหญ่โต เพราะผมต้องการให้กำลังพลนึกถึงความเรียบง่าย ความต้องการความเป็นสมถะของชีวิตในการเป็นทหาร และถ้าคิดให้ลึกซึ้งแล้วเสาต้นนี้เปรียบเป็น Landmark ของจุดสุดท้ายของชีวิต เกิดมาแต่ดิน อยู่บนดินและกลับสู่ดิน

อดุล  อุบล
พลเอก,ทหารราบ
๗ พ.ย.๕๔

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ที่มาของคำว่า เสียหมา

  มีเรื่องเล่าที่อยากมาแชร์ แต่ไม่การันตีว่าจริงแท้แค่ไหนนะเออ.... ที่มาของคำว่า .....เสียหมา.... ** "เสียหมา"** แล้ว "เสียหมา" ทำไม? จึงหมายถึง "เสียฟอร์ม - เสียท่า" "เสียหมา" เกิดขึ้นในช่วงสงครามเวียดนามเมื่อประมาณ 30 - 40 ปีก่อน ตอนนั้นยังมี เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาหนุนเวียดนามใต้ สู้กับเวียดนามเหนือ หรือพวก "เวียดกง" "เวียดกง" เป็นเจ้าของกลยุทธ์ การสู้รบแบบ "กองโจร" "เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตาม" ไม่สู้แบบปะทะตรงๆ เพราะสู้กับกองทัพสหรัฐอเมริกาไม่ได้ เขาจึงใช้กลยุทธ์ "กองโจร" ใช้วิธีซุ่มโจมตีแทน ที่เด็ดมาก และแสดงถึงความมานะอดทนของ "เวียดกง" ก็คือ การขุดอุโมงค์ใต้ดิน ต่อเชื่อมกันเป็นระยะทางไกลๆ โผล่ขึ้นมาถล่มทหารสหรัฐ แล้วก็มุดเข้าอุโมงค์หนีไป วันหนึ่ง กองทัพสหรัฐคิดวิธีใหม่ในการค้นหาอุโมงค์ของ "เวียดกง" ได้สำเร็จเขาใช้สุนัขทหารที่ดมกลิ่นเก่งมากๆ เป็นตัวนำทาง ทหารสหรัฐจะส่งสุนัขล่วงหน้าไป พอเจออุโมงค์ที่ไหน มันก็จะเห่าบอ

สด.8 คืออะไร

สด. 8           ใบ สด.8 คือ สมุดประจำตัวของทหารกองหนุนที่ผ่านการเป็นทหารกองประจำการแล้วรวมทั้งผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิชาทหารชั้นปี 3(รด) เป็นหนังสือสำคัญ ที่ติดมาพร้อมกับ สมุดประจำตัวทหารกองหนุนประเภทที่ ๑ สด.8 จะอยู่ในสมุดประจำตัวทหารกองหนุน พร้อมหนังสือสำคัญ(แบบ สด.8) หน้ากลางเล่ม เวลาใช้งานให้ถ่ายเอกสารหน้ากลางตรงส่วนที่ระบุว่า สด.8 ทั้งสองส่วน ซึ่งจะได้รับ สด. 8 เมื่อ รับราชการทหารกองประจำการ (คือ เป็นทหารเกณฑ์ ) จนครบกำหนดปลด        เรียน รด. จบปี 3 (เพราะ จบ รด. ไม่ต้องไป เกณฑ์ทหาร และไม่ต้องเป็นทหารกองประจำการ )        เมื่อจบ รด.ปี 3 จะได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการ และ นำปลด เป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1       ในวันเดียวกัน โดยไม่ต้องไปรับราชการในกองประจำการ ( ไม่ต้องเป็นทหารเกณฑ์นั่นเอง )        แต่ ยังคงเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 การนับอายุของทหาร        การนับอายุจะนับที่ปี พ.ศ. โดยเกิด 1 มกราคม ไปจนถึง เกิด 31 ธันวาคม ของปี ใดก็ตาม ถือว่า อายุ เท่ากัน ทั้งปี และ เริ่มนับ เมื่อวันที่ 1 มกราคม เป็น อายุ ครบ ปี บริบูรณ์       ทหารกองหนุนประเภทที่ 1 แบ่ง

…..จอมพลสอนทหาร ………..

             ๑. ผู้ใดเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใหญ่ อย่าเป็นคนหูเบา แต่ก็มิใช่เป็นคนหูหนวกตาบอด ต้องฟังต้องดูอย่างกว้างที่สุด อยู่เสมอ แต่อย่าเชื่อคนสอพลอ หรือเชื่อคนพูดก่อนและฟ้องก่อน เพราะคนพูดภายหลังอาจพูดจริงกว่าคนที่พูดก่อนก็เป็นได้             ๒. เมื่อมีความขุ่นข้องกับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือผู้น้อย เมื่อได้ว่ากล่าวลงโทษ หรือตักเตือนแล้ว จงอย่าจำเอาไว้ อาฆาตมาดร้ายภายหลังอีก             ๓. ให้พยายามหาความดีความงามมาสู่คณะ และปูนบำเหน็จกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และผู้น้อย สำหรับผู้ที่สมควรจะได้รับตามโอกาสที่จักพึงหาได้นั้นอยู่เสมอ             ๔. จงติโทษหรือลงโทษผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในขณะที่ทำผิด โดยไม่เกรงใจหรือกลัวเขาเกลียด ให้เคร่งครัดอยู่เสมอ จะละเลยเสียมิได้เป็นอันขาด เพราะภายหลังจะกำเริบและแก้ไขยาก             ๕. จงอย่าใช้อำนาจราชการลงโทษกับผู้ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาในขณะเมื่อตนบันดาลโทสะ และอย่ากล่าวคำหยาบ ให้กระทบกระเทือนถึงวงศ์ตระกูล เพราะผู้อื่นเขาก็มีจิตใจเป็นมนุษย์เหมือนเราเหมือนกัน             ๖. จงบำรุงการสมาคม และแสดงกิริยา วาจา ใจ ให้เป็นการโอภ