ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ ช่องเขาขาด กาญจนบุรี

ช่องเขาขาด หรือ ช่องไฟนรก (Hellfire Pass)
ช่องเขา2
“ช่องเขาขาด”เป็นการเจาะช่องเขาเพื่อสร้างทางรถไฟสำหรับไปพม่าเนื่องจากพื้นที่เป็นภูเขาจึงต้องเจาะช่องเขา สำหรับตรงนี้เจาะช่องเขาสองช่องตั้งแต่เจ็ดสิบกว่าเมตรถึงสองร้อยกว่าเมตร ส่วนความลึกตั้งแต่แปดเมตรจนถึงยี่สิบห้าเมตร
การก่อสร้างเริ่มต้นขึ้นที่ตอนใต้ของพม่าช่วงเดือนตุลาคม 2485ปลายฝนต้นหนาว ขณะเดียวกันก็มีการก่อสร้างทางรถไฟในประเทศไทย เพื่อไปบรรจบกันที่แก่งคอยท่าในเขตไทย ซึ่งกินเวลานานนับขวบปี ผ่านช่วงที่ร้อนที่สุด ผ่านฤดูฝนที่แสนทรมาน แรงงานทั้งหลายต้องอดทนกับการหิวโหย การอ่อนล้า และการเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บสารพัด
ช่องเขา6
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้ตัดสินใจสร้างทางรถไฟที่มีความยาวประมาณ 415 กิโลเมตร จาก อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ผ่านผืนป่าและภูเขาสูงชันไปถึง อ.ตันบูชายัต ในประเทศพม่า ด้วยเหตุนี้กองทัพญี่ปุ่นจึงรวบรวมเอาแรงงานหลายเชื้อชาติ ทั้งแรงงานชาวเอเชียราว 2.5 แสนคน และเชลยศึกชาวออสเตรเลีย อังกฤษ ฮอลแลนด์ และอเมริกา มากกว่า 6 หมื่นคน มาก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ขึ้น
มีบันทึกหลายแห่งระบุถึงความโหดร้ายทารุณ ที่บรรดาเชลยศึกและแรงงานได้รับ ระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ โดยเฉพาะการขุดเจาะช่องเขาเพื่อวางรางรถไฟ กองทัพญี่ปุ่นได้นำเชลยศึกชาวออสซี่ 400 คน ประเดิมขุดเจาะ และเมื่อเห็นว่าการก่อสร้างทางเป็นไปด้วยความล่าช้า จึงเพิ่มเชลยศึกเข้าไปอีก ส่วนใหญ่เป็นทหารออสซี่และจากสหราชอาณาจัก “เชลยศึก 6 หมื่นคน 20 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิต แรงงานอีกไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นคน ต้องสังเวยชีวิตระหว่างการก่อสร้างรถไฟแห่งนี้ จนมีผู้เปรียบเปรยว่า 1 หมอนรางรถไฟเท่ากับ 1 ชีวิตของเหล่าเชลยศึก”
ปัจจุบันช่องเขาขาดได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำ อยู่ภายในกองการเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี จากทางหลวงหมายเลข 323 สายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ ไปทางทิศตะวันตกของเมืองกาญจน์ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 64-65ต้องต้อนรับทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 8 หมื่นคนต่อปี ที่เดินทางมาร่วมรำลึกและไว้อาลัยต่อเชลยศึก ตลอดจนแรงงานชาวเอเชียที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

แม้วันนี้ที่ช่องเขาขาดจะปราศจากคบไฟ แรงงานเชลยศึก และการทรกรรม แต่หินทุกก้อน ต้นไม้ทุกต้น ก็มีเรื่องราวให้เล่าขานถึงเหตุการณ์เมื่อวันวาน วันที่เชลยศึกและแรงงานนับหมื่นนับแสนคนเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ โดยไม่มีวันได้หวนกลับคืนสู่มาตุภูมิไปชั่วนิรันดร์
20160607_125815
ประวัติศาสตร์มีชีวิต
ช่องเขาขาดเป็นทางแคบๆ ตัดผ่านเนินเขา มูลดิน ทางรถไฟ และสะพาน ปัจจุบันได้กลายเป็นโครงการพิพิธภัณฑสถานช่องเขาขาด เพื่อรำลึกถึงเหล่าทหารที่ต้องทุกข์ทรมานจากการก่อสร้างเส้นทางสายทาสนี้ โดย เจ จี ทอม มอรีส ชาวออสเตรเลีย หนึ่งในเชลยศึกที่อยู่ร่วมชะตากรรมนรกบนดินครั้งนั้น เป็นคนริเริ่มพัฒนาและบำรุงรักษาไว้ให้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ถึงความโหดร้ายที่เชลยศึกได้รับระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
ขณะอายุได้ 17 ปี ทอมสมัครเข้าเป็นทหารยศสิบโท กองพลน้อยที่ 22 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2484 เขาถูกจับเป็นเชลยศึกระหว่างทำสงครามที่สิงคโปร์ เดือนกุมภาพันธ์ 2485 หลังจากนั้นถูกนำตัวมากักขังในฐานะเชลยศึกนานถึง 3 ปี ในกองกำลังเอฟอร์ซ (A-Force) ระหว่างถูกคุมขังทอมถูกบังคับให้ทำงานก่อสร้างทางรถไฟไทย-พม่าสายประวัติศาสตร์นี้ และถูกนำตัวไปขังไว้ตามค่ายทหารต่างๆ ถึง 10 ค่าย จนเป็นต้นเหตุให้เขาติดเชื้อไข้มาลาเรียและโรคบิด ต่อมาเขาได้ทำหน้าที่ทหารเสนารักษ์ คอยช่วยเหลือเชลยศึกคนอื่นๆ ในค่ายพยาบาลบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 55
หลังพ้นจากนรกขุมสุดท้าย ทอมได้กลับบ้านที่ออสเตรเลียและอาศัยอยู่ที่นั่นนานกว่า 40 ปี เขาจึงตกลงใจกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อหาที่ตั้งของจุด “ช่องเขาขาด” (Hell Fire Pass) เมื่อปี 2527 และความพยายามอันมุ่งมั่นของเขาก็ประสบความสำเร็จ นอกจากจะพบที่ตั้งของช่องเขาขาดที่อยู่ใจกลางป่าทึบแล้ว ทอมยังมีความประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะบูรณะพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์นี้ เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตที่ต้องนำเอาเลือดเนื้อและวิญญาณมาสังเวยให้แก่ทางรถไฟสายนี้
โดยทอมได้นำเสนอข้อมูลต่อรัฐบาลออสเตรเลีย เพื่อของบประมาณบูรณะพัฒนาช่องเขาขาดให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ในลักษณะกองทุน โดยเงินก้อนแรกถูกส่งมาเมื่อปี 2530 ถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างอนุสรณ์สถานช่องเขาขาด ต่อมาปี 2537 ได้รับเงินสนับสนุนอีกครั้ง จึงนำไปใช้สร้างพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานช่องเขาขาด เพื่อจัดแสดงมินิเธียเตอร์และรวบรวมข้อมูลภาพถ่าย ข้าวของเครื่องใช้ ระหว่างการก่อสร้างทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเมื่อ 70 ปีก่อน โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2542
พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ ช่องเขาขาด กาญจนบุรี
ช่องเขา3
ได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก คือ ส่วนที่จัดเป็นนิทรรศการภายใน
ส่วนที่สอง คือ ส่วนที่เป็นทางเดินเพิ่งนำทุกท่านไปยังสถานที่จริง โดยแบ่งเป็น เส้นทาง ขึ้นเขาเพื่อชม เส้นทางช่องเขาขาดมุมบน และเส้นทางลงเขา เพื่องลงไปชมบรรยากาศ ด้านล่างที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ร่มงานที่เงียบสงบ
เรื่องราวในอดีตถูกรวบรวมและบอกเล่าผ่านนิทรรศการภายใน“พิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำ ช่องเขาขาด” ที่ออกแบบและสร้างไว้อย่างเป็นสัดส่วน พิพิธภัณฑ์ฯได้รวบรวมภาพถ่าย ข้อมูล และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เกิดในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ นอกจากตัวอักษรและภาพประกอบที่อธิบายถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในแต่ละช่วงแล้ว จุดเด่นหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ฯก็คือ ห้องมินิเธียร์เตอร์ ที่ฉายภาพยนตร์เงียบขาว-ดำ ซึ่งถ่ายทำจากเหตุการณ์จริงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ ความทุรกันดารและความโหดร้ายของการตกเป็นเชลยศึกสงคราม
หลังจากออกจากห้องแสดง นิทรรศการแล้ว จะเดินผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยวลงไปสู่ช่องเขาที่มีขนาดความกว้างเพียง 17 เมตร ซึ่งยังคงเหลือร่องรอยของทางรถไฟ รวมถึงร่องรอยของการระเบิดหินเพื่อเปิดเป็นช่องให้รถไฟผ่านได้ ใครจะคาดคิดได้เลยว่าระยะทางไม่กี่ร้อยเมตรที่ตัดผ่านภูเขาลูกนี้จะต้องสังเวยไปด้วยชีวิตนับแสน นอกจากจุดสำคัญในบริเวณที่เรียกว่าช่องเขาขาดแล้ว เลยออกไปอีกหน่อยยังมี อนุสรณ์สถาน และ จุดพักชมวิวที่สวยงาม
จากผลการโหวตของนักท่องเที่ยว “นับล้านคน” จากทั่วโลก พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาดได้คะแนนมากเป็นอันดับ 4 ในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจจะด้วยเพราะพิพิธภัณฑ์นี้จัดไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม ภายในบริเวณมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติไปยังช่องเขาขาด ทำให้ตรึงใจนักท่องเที่ยวได้มหาศาล
ช่องเขา5
ณ ช่องเขาขาด ร่องรอยประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่แสนสงบ
ธรรมชาติที่ปกคลุมเต็มสองข้างของช่องเขา ทำให้พื้นที่ศึกษาประวัติศาสตร์แห่งนี้ร่มรื่น และทำให้คนได้เดินชมประวัติศาสตร์แบบแอบอิงธรรมชาติ อย่างเย็นสบาย มีเรื่องราว ข้าวของเครื่องใช้ในสมัยที่มีการสร้างทางรถไฟ แสดงเป็นหลักฐานให้คนได้ย้อนรำลึกถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าใครที่ยังไม่เคยมา เราแนะนำว่า ครั้งหนึ่งท่านต้องมาให้ได้
ในทุกวันที่ 25 เมษายนของทุกปี จะมีชาวต่างชาติ และคนไทยมากหน้าหลายตาเดินทางมาร่วมพิธีวันรำลึกถึงเชลยศึก ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งเรียกว่าวัน ANSAC DAY ซึ่งอาจเป็นบรรดาญาติพี่น้อง ครอบครัว และรวมถึงอดีตเชลยศึกชาวออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอีกหลายๆ ชาติ ที่รอดชีวิต ดอกไม้ แสงเทียน และพวงมาลา เป็นสิ่งแสดงความเสียใจ และแสดงความรำลึกนึกถึงการจากไปของผู้เป็นที่รัก ในเหตุการณ์ที่ตราตรึงของช่องเขาขาด ในครานั้น…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ที่มาของคำว่า เสียหมา

  มีเรื่องเล่าที่อยากมาแชร์ แต่ไม่การันตีว่าจริงแท้แค่ไหนนะเออ.... ที่มาของคำว่า .....เสียหมา.... ** "เสียหมา"** แล้ว "เสียหมา" ทำไม? จึงหมายถึง "เสียฟอร์ม - เสียท่า" "เสียหมา" เกิดขึ้นในช่วงสงครามเวียดนามเมื่อประมาณ 30 - 40 ปีก่อน ตอนนั้นยังมี เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ สหรัฐอเมริกาหนุนเวียดนามใต้ สู้กับเวียดนามเหนือ หรือพวก "เวียดกง" "เวียดกง" เป็นเจ้าของกลยุทธ์ การสู้รบแบบ "กองโจร" "เอ็งมา ข้ามุด เอ็งหยุด ข้าแหย่ เอ็งแย่ ข้าตาม" ไม่สู้แบบปะทะตรงๆ เพราะสู้กับกองทัพสหรัฐอเมริกาไม่ได้ เขาจึงใช้กลยุทธ์ "กองโจร" ใช้วิธีซุ่มโจมตีแทน ที่เด็ดมาก และแสดงถึงความมานะอดทนของ "เวียดกง" ก็คือ การขุดอุโมงค์ใต้ดิน ต่อเชื่อมกันเป็นระยะทางไกลๆ โผล่ขึ้นมาถล่มทหารสหรัฐ แล้วก็มุดเข้าอุโมงค์หนีไป วันหนึ่ง กองทัพสหรัฐคิดวิธีใหม่ในการค้นหาอุโมงค์ของ "เวียดกง" ได้สำเร็จเขาใช้สุนัขทหารที่ดมกลิ่นเก่งมากๆ เป็นตัวนำทาง ทหารสหรัฐจะส่งสุนัขล่วงหน้าไป พอเจออุโมงค์ที่ไหน มันก็จะเห่าบอ

สด.8 คืออะไร

สด. 8           ใบ สด.8 คือ สมุดประจำตัวของทหารกองหนุนที่ผ่านการเป็นทหารกองประจำการแล้วรวมทั้งผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิชาทหารชั้นปี 3(รด) เป็นหนังสือสำคัญ ที่ติดมาพร้อมกับ สมุดประจำตัวทหารกองหนุนประเภทที่ ๑ สด.8 จะอยู่ในสมุดประจำตัวทหารกองหนุน พร้อมหนังสือสำคัญ(แบบ สด.8) หน้ากลางเล่ม เวลาใช้งานให้ถ่ายเอกสารหน้ากลางตรงส่วนที่ระบุว่า สด.8 ทั้งสองส่วน ซึ่งจะได้รับ สด. 8 เมื่อ รับราชการทหารกองประจำการ (คือ เป็นทหารเกณฑ์ ) จนครบกำหนดปลด        เรียน รด. จบปี 3 (เพราะ จบ รด. ไม่ต้องไป เกณฑ์ทหาร และไม่ต้องเป็นทหารกองประจำการ )        เมื่อจบ รด.ปี 3 จะได้รับการขึ้นทะเบียนกองประจำการ และ นำปลด เป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1       ในวันเดียวกัน โดยไม่ต้องไปรับราชการในกองประจำการ ( ไม่ต้องเป็นทหารเกณฑ์นั่นเอง )        แต่ ยังคงเป็นทหารกองหนุนประเภทที่ 1 การนับอายุของทหาร        การนับอายุจะนับที่ปี พ.ศ. โดยเกิด 1 มกราคม ไปจนถึง เกิด 31 ธันวาคม ของปี ใดก็ตาม ถือว่า อายุ เท่ากัน ทั้งปี และ เริ่มนับ เมื่อวันที่ 1 มกราคม เป็น อายุ ครบ ปี บริบูรณ์       ทหารกองหนุนประเภทที่ 1 แบ่ง

…..จอมพลสอนทหาร ………..

             ๑. ผู้ใดเป็นผู้บังคับบัญชาและผู้ใหญ่ อย่าเป็นคนหูเบา แต่ก็มิใช่เป็นคนหูหนวกตาบอด ต้องฟังต้องดูอย่างกว้างที่สุด อยู่เสมอ แต่อย่าเชื่อคนสอพลอ หรือเชื่อคนพูดก่อนและฟ้องก่อน เพราะคนพูดภายหลังอาจพูดจริงกว่าคนที่พูดก่อนก็เป็นได้             ๒. เมื่อมีความขุ่นข้องกับผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือผู้น้อย เมื่อได้ว่ากล่าวลงโทษ หรือตักเตือนแล้ว จงอย่าจำเอาไว้ อาฆาตมาดร้ายภายหลังอีก             ๓. ให้พยายามหาความดีความงามมาสู่คณะ และปูนบำเหน็จกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา และผู้น้อย สำหรับผู้ที่สมควรจะได้รับตามโอกาสที่จักพึงหาได้นั้นอยู่เสมอ             ๔. จงติโทษหรือลงโทษผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในขณะที่ทำผิด โดยไม่เกรงใจหรือกลัวเขาเกลียด ให้เคร่งครัดอยู่เสมอ จะละเลยเสียมิได้เป็นอันขาด เพราะภายหลังจะกำเริบและแก้ไขยาก             ๕. จงอย่าใช้อำนาจราชการลงโทษกับผู้ซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาในขณะเมื่อตนบันดาลโทสะ และอย่ากล่าวคำหยาบ ให้กระทบกระเทือนถึงวงศ์ตระกูล เพราะผู้อื่นเขาก็มีจิตใจเป็นมนุษย์เหมือนเราเหมือนกัน             ๖. จงบำรุงการสมาคม และแสดงกิริยา วาจา ใจ ให้เป็นการโอภ